วันเสาร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ปัญหาสังคมที่ฉันสัมผัส ตอน สัตว์เร่ร่อนในมหาวิทยาลัยบูรพา

      ถ้าถามถึงปัญหาสังคมที่ข้าพเจ้าได้สัมผัสในชีวิตนี่้นั้นคงนับไม่ถ้วนเพราะคนเราเกิดมาย่อมต้องเจอกับปัญหาไม่ว่าจะเป็นปัญหาระดับปัจเจกหรือระดับกลุ่มสังคม ดังคำที่ กล่าวกันโดยทั่วไปว่า ถ้าหากเราไม่พบเจอปัญหาเราก็จะไม่มีภูมิต้านทานในการใช้ชีวิต โดย ขณะนี้ ข้าพเจ้ากำลังใช้ชีวิต ในช่วงของ นักศึกษาในมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าต้องพบเจอกับปัญหาหลากหลายปัญหาด้วยกัน  ซึ่งชีวิตในรั้วม.บูรพาของข้าพเจ้านั้น มีปัญหาหนึ่งที่ข้าพเจ้าได้สัมผัส พบเจอตั้งแต่วันแรกของการเข้ามาเรียนจนถึงวันนี้ที่ข้าพเจ้าอยู่ปีสี่แล้ว ซึ่งเป็นที่มาของเนื้อหา ในบล็อกนี้คะ
         ปัญหาที่ว่านั้น ก็คือ "ปัญหาสัตว์เร่ร่อนในมหาวิทยาลัยบูรพา" ปัญหานี้อาจเป็นปัญหาเล็กน้อยของสังคมในสายตาใครบ้างคนแต่สำหรับข้าพเจ้านั้นเห็นว่าปัญหานี้ก็เป็นปัญหาที่สังคมควรหันเหลียวแล เพราะทุกคนคงเคยได้ยิน คำที่พูดกันว่า"ทุกชีวิตบนโลกนี้ล้วนแต่มีค่าและสำคัญทั้งสิ้น" ดังนั้นสัตว์ต่างๆ ไม่ว่าจะช้าง ม้า วัว ควาย หมา แมว ฯลฯ ก็ล้วนมีค่ามีความสำคัญเช่นกัน แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงปัจจุบันนี้ สิ่งมีชีวิตที่ถูกให้ความสำคัญมากที่สุดนั้นคือ มนุษย์ หรือสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญารู้จัก ชั่ว ดี  โดยบ้างครั้งสิ่งที่มีชีวิตอื่นๆอาจถูกเห็นว่าด้อยค่ากว่าและอาจถูกละเลย
       ในที่นี้ข้าพเจ้าจะกล่าวในส่วนของ สัตว์ที่มีชื่อเรียกว่า  หมาและแมว ซึ่งมีมากในสังคมและในมหาวิทยาลัยบูรพา มีทั้งที่ มีเจ้าของและไม่มีเจ้าของ บางรายอาจได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีแต่บางรายก็อาจไม่มีผู้ใดเหลียวแลต้องดำเนินชีวิตไปตามสัญชาติญาณของสัตว์เร่ร่อนที่หลายคนคิดว่าไม่เป็นปัญหายิ่งใหญ่อะไรในสังคม ม.บูรพาแห่งนี้ แต่ถ้าเราลองเอาใจเขามาใส่ใจเราในฐานะที่เราก็เป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนกับพวกเค้า ต่างกันแค่ที่เราเป็นคนแต่พวกเค้าเป็นสัตว์ ปัจจัยสี่ที่เราต้องการสัตว์เหล่านั้นก็ต้องการเหมือนกัน ดังนั้นในเมื่อสัตว์ต้องการเอาชีวิตรอดในสถานที่ที่มนุษย์ควบคุม และเงินเป็นตัวสำคัญ สัตว์เลยจำต้องพึ่งพาพึ่งพิงมนุษย์เพื่อความอยู่รอดของตนเอง ปัญหา "สัตว์เร่ร่อน"  ที่นับวันยิ่งเพิ่มมากขึ้น แค่ใน ม.บูรพาที่เดียวก็มีจำนวนมากกว่า 20 ตัว ทั้งแมวและหมาปะปนกัน
หน้าตึกมนุษย์ศาสตร์
คอยอาหาร








   


           เมื่อแมวและหมาไม่มีเจ้าของ ก็จำต้องหากินด้วยตนเอง ซึ่งนั้นก็คือ เศษอาหารตามร้านอาหาร ถังขยะ อาหารที่หล่นทิ้ง หรือ นั่งคอยตามโต๊ะอาหารที่นักศึกษานั่งรับประทานอยู่ ถ้าโชคดีบางวันก็มีคนใจดีนำอาหารมาแจกก็จะรอดตายไปหนึ่งวัน สำหรับข้าพเจ้าเห็นว่านับวันปัญหาสัตว์เร่ร่อนยิ่งเป็นปัญหาโลกแตกเข้าทุกวันเพราะไม่มีทางแก้ไขที่สิ้นสุดสักที แม้แต่ ในม.บูรพาที่เดียวก็ยังแก้ไม่ได้แถมยังเพิ่มขึ้นทุกวันถ้าเรามองต้นเหตุของปัญหานี้ดีดีจะเห็นว่า มนุษย์เองก็มีส่วนเกี่ยวข้องที่ทำให้เกิดปัญหาสัตว์เร่ร่อนเพิ่มขึ้นเช่นกัน ข้าพเจ้าเคยซักถามบุคคลหลายกลุ่มด้วยกันใน ม.บูรพาว่า ทำไม่จึงมา หมาแมวเร่ร่อนเยอะมาก คำตอบที่ได้มานั้นสรุปได้ว่าเป็นสาเหตุของปัญหาสัตว์เร่ร่อน ได้ดังนี้คือ
       1. เจ้าของที่มีนักศึกษา  บุคลากรในมหาวิทยาลัย  ชาวบ้านข้างเคียงมหาวิทยาลัย  หรือแม้แต่บุคคลภายนอก ที่นำหมาแมวที่ตนเลี้ยงมาทิ้งไว้ในมหาวิทยาลัยเพราะไม่อยากเลี้ยงแล้วหรือรู้สึกว่าหมาแมวที่เลี้ยงพอโตขึ้นเริ่มเป็นภาระมากขึ้นก็เลยปล่อยทิ้งไว้เป็นหมาแมวเร่ร่อนในมหาวิทยาลัย
       2.นักศึกษาที่ชอบเลี้ยงหมาแมวที่ตอนเล็กๆน่ารักพอมันโตขึ้นก็เริ่มไม่น่ารักจึงตัดสินใจทิ้งมันไว้ในมหาวิทยาลัยให้เป็นหมาแมวเร่ร่อน
       3.ผู้เช่าที่พักทั้งในมหาวิทยาลัยและข้างเคียงเมื่อย้ายที่อยู่ใหม่ก็ทิ้งหมาแมวที่เลี้ยงไว้ไม่พาไปที่อยู่ใหม่ด้วยหมาแมวเหล่านั้นจึงกลายเป็นหมาแมวเร่ร่อน
       4.ชาวบ้านข้างเคียงและข้างนอกมหาวิทยาลัยนำ หมาแมวที่เลี้ยงไว้มาทิ้ง เนื่องจากรับภาระไม่ไหวหรือไม่มีเวลาดูแลเมื่อภาระทางบ้านเพิ่มขึ้น หรือฐานะตกต่ำลง หมาแมวจำต้องเป็นภาระที่ต้องตัดทิ้งไปจึงมีหมาแมวเร่ร่อนในมหาลัยเพิ่มขึ้น
       5.เมื่อหมาแมวเร่ร่อนเหล่านั้น ต้องใช้ชีวิตตามสัญชาติญาณของสัตว์ การสืบพันธ์ก็ย่อมเกิดขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นการเพิ่มประชากรหมาแมวเร่รอนในมหาวิทยาลัยได้อย่างรวดเร็ว เพราะจากพ่อพันธ์แม่พันธ์ที่เร่ร่อนอยู่แล้วเมื่อเกิดลูกมาก็ย่อมเร่ร่อนเช่นกัน
       จากที่กล่าวมาข้างต้นจึงเห็นได้ว่า นักศึกษาพวกเราเองบางครั้งก็เป็นส่วนที่ทำให้เกิดปัญหาสัตว์เร่ร่อนขึ้นเช่นกันดังนั้นจึงถึงเวลาแล้วที่เราควรเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไขปัญหาที่เราสัมผัสอยู่ทุกวันนี้ตามกำลังและวิธีการที่เราพอจะทำได้เพื่อให้ปัญหาที่เราสัมผัสอยู่นี้ได้บรรเทาลง
       ซึ่งข้าพเจ้าได้สัมผัสกับปัญหาสัตว์เร่ร่อนในมหาวิทยาบูรพาแห่งนี้มาด้วยตัวเอง นั่นคือตอน ปี4 เทอม 1หรือเทอมที่ผ่านมา ที่หอพักของข้าพเจ้าในมหาวิทยาลัยบูรพาแห่งนี้มีแมวเร่ร่อนอยู่หลายตัวมีทั้งตัวผู้และตัวเมีย โดยที่หน้าห้องของข้าพเจ้าจะมีตะกร้าไว้ใส่รองเท้าโดยจะมีผ้าที่ไว้เช็ดรองเท้าปิดอยู่ด้านบน ตอนเช้าของช่วงต้นเทอม วันหนึ่งข้าพเจ้าได้ยินเสียงร้องของเมวอยู่แถวหน้าห้องจึงไปหาดูปรากฏว่ามีลูกแมวเพิ่งคลอดได้สัก4-5 วัน เพราะตัวมันเล็กมาก มาอยู่ในตะกร้ารองเท้าของฉัน 4 ตัวด้วยกัน ข้าพเจ้าตกใจมากรีบไปบอกเพื่อนห้องข้างบนให้ลงมาดูเพราะ เจ้าของหอไม่ให้นำสัตว์ขึ้นหอหากเจ้าของหอรู้เข้าเค้าต้องพาพวกมันไปทิ้งแน่ๆ ข้าพเจ้ากับเพื่อนคาดกันว่าแม่แมวต้องคาบมาซ่อนไว้เพราะเมื่อคืนฝนตกหนัก ก็เลยพาลูกมาซ่อนไว้เพื่อไม่ให้เปียก ข้าพเจ้ากับเพื่อนรอดูว่าแม่แมวจะมาหาลูกมั้ย ประมาณซักครึ่งชั่วโมงมันก็มาให้ลูกกินนม ข้าพเจ้าเลยตัดสินใจเอาแผ่นไม้บังแม่แมวกับลูกแมวไว้ไม่ให้เจ้าของหอเห็น โดยข้าพเจ้าได้ซื้อปลาทูมาให้แม่แมวกิน ได้ซักประมาณ 3 วัน พวกมันก็พากันหายไป            เพื่อนข้าพเจ้าบอกว่าแม่แมวคงพาไปที่อื่น ข้าพเจ้าก็ไม่ได้สงสัยอะไร จน 2 วันต่อมา ข้าพเจ้าเดินลงไปบันไดข้างล่างได้กลิ่นเหม็นแปลกๆ จึงตามกลิ่นไปและฉันก็ได้เห็นลูกแมวที่หายไปนั้นนอนตายอยู่ 2 ตัว สภาพอืดมาก และมีอีกตัวหนึ่งที่สะกิดตัวที่ตายแล้ว แล้วสงเสียงร้องเป็นครั้งๆอย่าไม่มีเรี่ยวแรง ข้าพเจ้ากับน้องในหออีกคนจึงช่วยกันพาตัวที่รอดออกมาและบอกเจ้าของหอให้จัดการกับตัวที่ตาย ข้าพเจ้ากะว่าจะเลี้ยงมันไว้ เพราะแม่มันคงเป็นอะไรซักอย่างจึงหายไป แต่เจ้าของหอไม่ให้เลี้ยงแล้วยังบอกว่ามันคงไม่รอด ห้ามเลี้ยงให้ทิ้งไว้นี้แหละ พอดีเพื่อนข้าพเจ้ามาที่หอเราปรึกษากันว่าจะเอาไปเลี้ยงบ้านเพื่อนก่อนพอมันโตฉันค่อยเอากลับบ้านฉันที่นครศรีธรรมราช สรุปว่าวันนั้นทั้งวัน ข้าพเจ้ากับเพื่อนวุ่นอยู่แต่กับเรื่องน้องแมวเร่ร่อนตัวนั้น ทั้งหาซื้อนม เช็ดราที่ติดอยู่บนตัวน้องแมว ทั้งเช็ดขี้ตาที่ปิดตามิดจนข้าพเจ้าคิดว่ามันตาบอด แต่สุดท้ายมันก็มองเห็นแล้วก็ได้กินนม หลับไป แต่ถึงยังไงมันก็ต้องการแม่ เพราะมันร้องงอแงทั้งวัน ข้าพเจ้ากับเพื่อนเลี้ยงมันไว้  และตั้งชื่อมันว่า "อย่าหนี"  ที่แปลตามตัวนั่นแหละ เลี้ยงได้ประมาณ 3 วัน มันก็ไม่ค่อยกินนมสงสัยจะต้องการนมแม่จึงไปปรึกษาป้าที่ร้านค้าใกล้หอที่เลี้ยงแมวเหมือนกัน ป้าบอกว่า บ้านป้ามีแมวแมวเพิ่งเกิดลูกเหมือนกัน ลองเอา "อย่าหนี" มาให้กินนมดูสิ เผื่อมันจะอยู่ได้ ป้าจะได้เลี้ยงไว้ให้ก่อนเพราะพวกเราคงไม่มีเวลาดูแล ข้าพเจ้ากับเพื่อนเลยตกลงว่าอย่างที่ป้าเสนอ ข้าพเจ้าบอกว่าให้มันทิ้งนมแม่แล้วจะพากลับมาเลี้ยง นับตั้งแต่วันนั้นข้าพเจ้ากับเพื่อนก็หมั่นไปดูมันที่ร้านป้า แต่ป้า เปลี่ยนชื่อมันเป็น "แมวน้ำ" มันจึงชื่อแมวน้ำมาทุกวันนี้
ข้าพเจ้ากับ เจ้า แมวน้ำ
         ซึ่งพอถึงเวลามันกินข้าวเป็นแล้ว ข้าพเจ้ากับเพื่อนจะไปรับมันกลับมาเลี้ยงแต่ป้าบอกว่ามันติดแม่ที่เลี้ยงมัน โดยที่คิดว่าเป็นแม่มันเองแล้วมันก็มีเพื่อนเล่น อย่าพามันไปเลยให้มันอยู่กับป้านี่แหละข้าพเจ้ากับเพื่อนจึงตัดสินใจอย่างที่ป้าบอกจนทุกวันนี้พวกเราก็ยังแวะไปดูมันเสมอๆเมื่อมีเวลา มันโตขึ้นทุกวันเป็นแมวตัวสีดำเทาๆ เป็นเพศผู้ น่ารักมาก
         จากประสบการณ์ที่ข้าพเจ้าได้สัมผัสจะเห็นได้ว่าเพียงแค่แมวเร่ร่อนตัวเดียวยังมีปัญหาตั้งหลายอย่างแล้วในมหาวิทยาลัยของเรามีหมาแมวเร่ร่อนตั้งหลายสิบตัว กระจัดกระจายอยู่ทุกๆทีของมหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะขออาหารอยู่ที่โต๊ะกินข้าวในร้านค้าของตึกมนุษย์ ในสวนนันทนาการ ในบริเวณตึกข้างสนามกีฬาเชาว์มณีวงศ์ ซึ่งล้วนแต่เป็นหมาแมวจรจัดเร่ร่อนทั้งนั้น โดยที่ข้าพเจ้าเห็นว่าทางแก้ไขของปัญหานี้ก็พอจะมีที่นักศึกษาอย่างเราๆพอที่จะทำได้นั้นคือ
         -ถ้าคิดจะเลี้ยงหมาแมวของตนเองต้องมั่นใจว่าดูแลมันได้ไม่คิดว่ามันเป็นภาระและไม่ใช่รักเฉพาะมันตอนเล็กๆและจะต้องไม่ทอดทิ้งมันแม้เรียนจบแล้วก็ต้องพามันกลับไปด้วยถ้ายังไม่พร้อมก็ไม่ควรซื้อหรือนำมันมาเลี้ยง
         -ในส่วนของมหาวิทยาลัยก็ควรจะจัดหารือกับชาวบ้านละแวกใกล้เรื่องการนำหมาแมวมาทิ้งว่าไม่ควรกระทำและควรหาแนะนำทางแก้ไขที่ดีกว่าการทอดทิ้งพวกมัน
         -นักศึกษาหรือบุคลากรบางกลุ่มที่พอจะมีกำลังให้ทามมันได้ก็ควรจะเสียสละเงินเล็กน้อยซื้ออาหารของกินแบ่งหมาแมวจรจัดบ้างหากพบเห็นพวกมันหรือหากบางคนมีกำลังพอที่จะเลี้ยงมันได้ก็อาจจะนำมันบางตัวไปเป็นสัตว์เลี้ยงเพื่อลดจำนวนของหมาแมวเร่ร่อนลง
         -หรืออาจจะลองหาที่อยู่ให้พวกมันใหม่ หาเจ้าของใหม่ที่พร้อมจะรับภาระมันได้เหมือนที่ข้าพเจ้ากับเพื่อนได้หาที่อยู่ใหม่ให้กับน้องแมวน้อยตัวนั้น
          หากมีบุคลากรบางกลุ่มในมหาวิทยาลัยบูรพาลองมองปัญหา สัตว์จรจัดเร่ร่อนในมหาวิทยาลัยแห่งนี้อย่างจริงจังสักครั้ง ข้าพเจ้าเชื่อว่าปัญหานี้ที่ข้าพเจ้าสัมผัสมาตั้งแต่ ปี1 ถึงปี 4 อาจจะเบาบางลงบ้างแม้จะหมดไปก็ตาม ดังนั้นข้าพเจ้าเห็นว่าหากเราไม่หนีปัญหาแต่เต็มใจจะแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังแล้วนั้นข้าพเจ้าเชื่อว่ามันเป็นปัญหาที่แก้ได้หากมีการร่วมมือกันเพราะทุกปัญหาย่อมมีทางแก้อยู่แล้วดั่งนั้นถ้าพบเจอปัญหาใดๆก็ตามต้อง "อย่าหนี" ปัญหา ค่อยๆหาทางแก้แล้วสุดท้ายก็จะพบทางออกเหมือนกับเจ้าน้องแมว "อย่าหนี" ที่เคยเป็นแมวเร่ร่อน แต่ตอนนี้กลับมีผู้อุปถัมภ์ใจดี มอบที่อยู่ อาหาร ความอบอุ่นให้ จนในที่สุดจากแมวเร่ร่อนก็กลายเป็นแมวน่ารักมีเจ้าของเลี้ยงดู ซึ่งข้าพเจ้าเองก็ภูมิใจมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยบูรพาที่ครั้งหนึ่งได้ลงมือแก้ไขปัญหาสัตว์เร่ร่อนที่เป็นปัญหาสังคมที่ข้าพเจ้าได้สัมผัสถึงจะเป็นปัญหาแมวเร่ร่อนเพียงตัวเดียวก็ตามแต่ถ้าหากทุกคนเลิกหนีปัญหานี้แล้วร่วมมือกันคนละเล็กละน้อย ปัญหาสัตว์เร่ร่อนที่เราเห็นว่าเป็นปัญหาโลกแตกก็จะแก้ไขได้ในวิถีทางที่ถูกต้อง

น้องหมาเยอะมากที่ข้างตึกวิทย์กีฬา




คอยอาหารที่ตึกมนุษย์ศาสตร์

         นางสาว ดารณี เรืองจันทร์ 51041040 สาขาการสอนสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม

1 ความคิดเห็น:

  1. เขียนจากใจและประสบการณ์ได้ดีมากเลยค่ะ เป็นบุญของน้องแมวที่มีคุณแม่ใจบุญอย่างหนู สัตว์ก็ชีวิตหนึ่งเช่นกันก็มิน่ามาปล่อยทิ้งกันแบบนี้ อ.เคยไปวัด พระเองท่านก็เซ็งกับปัญหานี้เช่นกัน อยากเสนอว่า 1.ต้องจิตสำนึกของคนที่จะคิดเลี้ยง 2.คงต้องมีมาตราการทางกฎหมายและผู้ใช้กม.ก็ต้องเคร่งครัดด้วย

    ตอบลบ