วันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Ma Vie En Rose โลกของผมสีชมพู





 1.สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการดูภาพยนต์
     ภาพยนต์เรื่องนี้ถือได้ว่าเป็นภาพยนต์เรื่องหนึ่งที่มีค่าและให้ความรู้แก่ผู้ชมในประเด็นเรื่องของครอบครัว สังคม ปฎิสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในครอบครัว  ระหว่างสังคม ได้อย่างมากมาย ซึ่งสำหรับข้าพเจ้าแล้วสิ่งที่ได้เรียนรู้จากภาพยนต์เรื่องนี้คือ
  - ได้เรียนรู้ว่าไม่มีรากฐานใดจะสำคัญและมีค่ามากกว่าสถาบันครอบครัว ซึ่งถ้าสถาบันครอบครัวแข็งแกร่งและหนักแน่นพอ ปัญหาที่จะเกิดขึ้นในสังคมก็จะลดน้อยลงหรืออาจจะหมดไป
  - ได้เรียนรู้ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในครอบครัว คือ ความรัก ความเข้าใจ และการยอมรับ ซึ่งหากครอบครัวขาดสิ่งเหล่านี้ไปความเป็นครอบครัว ความอบอุ่น ก็จะหมดไป และสิ่งที่จะตามมาก็คือปัญหาครอบครัวที่นำไปสู่ปัญหาสังคม
  - ได้เรียนรู้ว่า หากสังคมขาดการยอมรับในความแตกต่างของกันและกันแล้ว ความแตกแยก ความขัดแย้งก็จะเป็นตัวทำลายความเป็นสังคมนั้นไป
  - ได้เรียนรู้ว่า การเอาใจเขามาใส่ใจเรา เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้คนในสังคมเดียวกันเข้าใจกันอย่างแท้จริงและจะไม่ละเมิดสิทธิ์ของกันและกัน ซึ่งจะไม่ทำให้เกิดปัญหาในสังคมนั้นๆ
  - และสุดท้ายข้าพเจ้าได้เรียนรู้ว่า ความรัก ความสัมพันธ์ของสมาชิกในครอบครัวเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก เป็นเรื่องที่สมาชิกต้องใช้ใจคุยกันมากกว่าที่จะใช้สมองคุย

2. ทฤษฎีสังคม
  จากการดูภาพยนต์เรื่องนี้ จะเห็นได้ว่ามีทฤษฎีสังคมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งผู้ชมแต่ละคนย่อมที่จะมีมุมมองในประเด็นทฤษฎีสังคมแตกต่างกัน โดยสำหรับข้าพเจ้านั้น เห็นว่า ทฤษฎีที่เห็นได้ชัดเจนจากเรื่องราวของภาพยนต์เรื่องนี้ นั้นก็คือ ประกอบด้วย สอง ทฤษฎีด้วยกัน
  - ทฤษฎีพฤติกรรมเบี่ยงเบน ซึ่งหมายภึง พฤติกรรมที่เบี่ยงเบนไปจากบรรทัดฐานของสังคมนั้นๆ โดยที่คนส่วนใหญ่ในสังคมนั้นๆเห็นว่าผิด หรือแตกต่่างไปจากคนส่วนใหญ่ในสังคม
    โดย ในเรื่องนี้นั้นจะเห็นได้ว่า ลุคโดวิค ซึ่งมีพฤติกรรมแตกต่างไปจากเด็กทั่วไปในสังคมที่เขาอยู่ กล่าวคือ ลุคโดวิค ซึ่งเป็นเด็กผู้ชายแต่เขามีพฤติกรรมเบี่ยงเบนไปทางผู้หญิง ซึ่งเป็นการเบี่ยงเบนในด้าน การกระทำเบี่ยงเบนคือ การมีร่างกายเป็นชายแต่มีจิตใจเป็นหญิงและพยายยามตอบสนองความต้องการทางจิตใจ นั้นคือ การพยายามทำตัวเองให้เป็นผู้หญิงร่วมทั้งการชอบพอเพศเดียวกันด้วย โดยที่พฤติกรรมเบี่ยงเบนดังกล่าว เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ในสังคมที่ ลุคโดวิคอยู่ มองว่าเป็นเรื่องที่ผิด และแตกต่างไปจากบรรทัดฐานของสังคม  ทำให้ พฤติกรรมของ ลุคโดวิคจึงถูกมองว่าเป็นพฤติกรรมเบี่ยงเบนในสังคมนั้น แต่ถ้า ลุคโดวิคอยู่ในสังคมที่คนส่วนใหญ่มองว่า พฤติกรรมของลุคโดวิคเป็นพฤติกรรมปกติทั่วไป ลุคโดวิคก็จะไม่ถูกมองว่าต่างไปจากสังคมนั้น เหมือนดังในเรื่องที่ หมู่บ้านใหม่ที่ ลุคโดวิค ไปอยู่นั่น คนส่วนใหญ่ในสังคมนั้น ยอมรับพฤติกรรมที่แตกต่างของลุคโดวิค พฤติกรรมของลุคโดวิคก็จะกลายเป็นเรื่องปกติในสังคมนั้น ซึ่งในเรื่องพฤติกรรมเบี่ยงเบนที่เกิดขึ้นกับ ลุคโดวิค นั้นอาจเกิดจาก ส่วนของ ชีววิทยา จิตวิทยา หรือ สังคมวิทยาก็ได้ นั้นก็คืออาจเป็นเรื่องของพันธุกรรม เรื่องของจิตใต้สำนึก หรือเรื่องของสภาพแวดล้อมและการเลี้ยงดู ซึ่งย่อมเป็นองค์ประกอบที่ก่อให้เกิดพฤติกรรมเบี่ยงเบนของ
ลุคโดวิคได้ทั้งสิ้น ซึ่งในทางทฤษฎีสังคมถือว่า ลุคโดวิคมีพฤติกรรมเบี่ยงเบน แต่เป็นพฤติกรรมที่ไม่ได้ก่อปัญหาร้ายแรงให้กับสังคม เพียงแต่อาจก่อให้เกิด ความขัดแย้ง ในด้านของการยอมรับของคนส่วนใหญ่ในสังคม เหมือนดังเพื่อนบ้านในเรื่องในหมู่บ้านแรกที่ลุคโดวิคอยู่ ซึ่งไม่ยอมรับ พฤติกรรมเบี่ยงเบนของลุคโดวิคทำให้เกิดการ รังเกียจ กีดกันการเข้าสังคม จนกระทั้งเกิดการบอยคอตต่อครอบครัวของลุคโดวิค
  - ทฤษฎีตีตรา ซึ่งเป็นการตอบโต้ของสังคมต่อผู้กระทำผิดหรือผู้ที่ผิดแผกไปจากบรรทัดฐานของสังคม โดย เป็นการตอบโต้ที่แสดงออกมาในทางด้านลบ เช่น การรังเกียจ การไม่สมาคมด้วย การไม่ให้โอกาสแก้ตัว การไม่ให้อภัย  ซึ่งจะแสดงต่อผู้กระทำผิดแม้เขาจะได้รับโทษแล้วก็ตรา หรือเรียกสั้นๆว่าเป็นการตีตรา นั้นเอง
    โดย ในเรื่องนี้ เพื่อนบ้านในหมู่บ้านแรกของ ลุคโดวิคส่วนใหญ่ไม่ยอมรับ พฤติกรรมเบี่ยงเบนของ
ลุคโดวิค ซึ่ง เพื่อนบ้านเห็นว่าเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้และเป็นเรื่องที่ผิด ที่ไม่ควรมีอยู่ในสังคม จึงแสดงพฤติกรรมการไม่ยอมรับออกมา แม้ครอบครัวของลุคโดวิคจะพยายามแก้ไขแล้วก็ตามเช่นพาลุคโดวิคไปหาจิตแพทย์ สั่งสอนบอกเหตุผลแก่ลุคโดวิค และลุคโดวิคเองก็พยายามจะฝืนตัวเองเพื่อจะเข้าสังคมแล้วก็ตาม แต่ความกังวลความไม่เชื่อใจ การไม่ให้โอกาสไม่ยอมรับของเหล่าเพื่อนบ้าน จึงแสดงออกมาในด้าน ของการตีตรา ซึ่งก่อให้เกิดเหตุการณ์อื่นๆตามมา โดยที่ในเรื่องคือ เมื่อ ลุคโดวิคโดยตีตรา ครอบครัวของลุคโดวิคก็ไม่ได้รับการยอมรับจากเพื่อนบ้าน มีผลต่อหน้าที่การงานของครอบครัว รวมถึงการมีเพื่อนของลุคโดวิค และที่สำคัญมีผลต่อความสัมพันธ์ในครอบครัวซึ่งเป็นปัญหาที่จะเกิดความแตกแยกขัดแย้งในสังคม เช่น ฉากหนึ่งในเรื่องที่ แม่ของลุคโดวิค ทำการแก้แค้นโดยทำให้เพื่อนบ้านมีปัญหากัน คือไปทำให้เกิดความขัดแย้งในครอบครัวของเซโรม ทำให้พ่อแม่ของเซโรมเข้าใจผิดกัน ซึ่งนี่เป็นเพียงปัญหาเล็กน้อยซึ่งในบางสังคมอาจแสดงออกมาในด้านที่จะก่อให้เกิดปัญหาร้ายแรงในสังคมก็ได้ เมื่อสังคมตีตรา ผู้ที่ถูกตีตราก็ย่อมที่จะอยู่ในสังคมนั้นลำบาก เหมือนในเรื่องที่สุดท้าย ครอบครัวของลุคโดวิคต้องย้ายไปอยู่ที่อื่น แต่ก็โชคดีของลุคโดวิคที่สังคมใหม่ยอมรับความแตกต่างของลุคโดวิค แต่จะเห็นได้ฉากหนึ่งที่แม้แต่แม่ของลุคโดวิคเองซึ่งไม่เชื่อใจในลูกก็ย่อมเกิดการตีตราได้ เช่นในตอนที่ลุคโดวิคโดนบังคับแลกเสื้อกับคริสติน ทั้งๆที่ลุคโดวิคโดนคริสตินบังคับแต่ด้วยความที่ลุคโดวิคเคยทำแบบนี้มาก่อนแม่จึงคิดว่าลุคโดวิคทำอีก ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นการตีตราแบบหนึ่งด้วยเช่นกัน ซึ่งการตีตราไม่ใช่ทางออกที่ดีของปัญหา การให้โอกาส การยอมรับในความแตกต่าง วิธีเหล่านี้ต่างหากที่จะแก้ไขปัญหาสังคมและปัญหาครอบครัวได้ ซึ่งเห็นได้ว่าเมื่อแม่ของลุคโดวิคยอมรับได้ ความสุขของครอบครัว        ลุคโดวิค ก็จะเพิ่มมากขึ้น สังคมก็จะไม่มีความขัดแย้งมีแต่ความเข้าใจกัน


 3.หากเป็นพ่อแม่
     ถ้าข้าพเจ้าเป็นพ่อแม่ที่มีลูกที่เป็นเหมือนลุคโดวิค ซึ่งเป็นเรื่องในชีวิต ข้าพเจ้าก็ตอบได้เต็มคำเลยว่า ข้าพเจ้าก็จะหาทางทุกวิธีทางที่จะทำให้ลูกของข้าพเจ้ากลับมาเป็นเหมือนคนปกติแต่ข้าพเจ้าจะไม่ใช้วิธีการที่ทำร้ายร่างกายและจิตใจลูกของข้าพเจ้า แต่จะใช้ทางเลือกอื่นเช่น จิตวิทยา การใช้เหตุผล การใช้สติสมาธิหรือวิธีการการเข้าใจความเป็นไปของชีวิตทางพุทธศาสนา โดยที่จะไม่ใช้ความชอบส่วนตัวหรือความอยากที่จะให้ลูกเป็นไปตามที่ใจเราอยากให้เป็นแต่จะใช้ทางที่เป็นขั้นตอนการรักษาจริงๆ เมือนฉากหนึ่งในเรื่องที่แม่พาลุคโดวิคไปหาจิตแพทย์ตอนที่ลุคโดวิคจะเลือกของเล่นซึ่งใจเขาอยากเลือกตุ๊กตาแต่แม่เมื่อได้ยินว่าแม่อยากให้ลูกชายเป็นลูกชายจริงๆ ลุคโดวิคก็ต้องฝืนใจเลือกเล่นรถเพื่อไม่ให้แม่เสียใจ ทำให้การรักษาไม่เป็นผล และถ้าข้าพเจ้าไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆนั้นคือไม่สามารถเปลี่ยนลูกได้แล้ว ข้าพเจ้าก็จะทำใจยอมรับความจริง และเริ่มทำการเข้าใจในสิ่งที่เขาเป็น ยอมรับสิ่งที่เขาเป็นอย่างจริงใจ เพื่อที่จะให้เขาดำเนินชีวิตในสังคมแห่งความเป็นจริงซึ่งในปัจจุบันแม้จะมีเพศที่สามเยอะขึ้น แต่คำว่าเพศที่สามก็ยังเป็นความต่างของสัมคม ข้าพเจ้าก็จะเลี้ยงดูเอาใจใส่ให้เขาอยู่ในสังคมที่กล่าวไปข้างต้น ให้ได้โดยไม่เป็นปัญหาของสังคมและให้เขานำความต่างที่เขาเป็นไปทำสิ่งดีดีให้สังคมเพื่อให้ความดีของเขานั้นทำให้สายตาของคนส่วนใหญ่ในสังคมที่เขาอยู่ยอมรับความต่างของเขาได้


 4.หากเป็นพี่น้อง
   ถ้าข้าพเจ้ามีพี่หรือน้องเป็นอย่างลุคโดวิค ตอนแรกข้าพเจ้าก็คงทำใจยอมรับไม่ได้ ข้าพเจ้าคงจะไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาเป็นและคงพยายามหาเหตุผลพูดคุยให้เขาเข้าใจและชักชวนให้เขากลับไปเป็นปกติ แต่ถ้าเขาเปลี่ยนไม่ได้และเป็นสิ่งที่เขาเลือกแล้ว ข้าพเจ้าก็จะหาวิธีเพื่อที่ข้าพเจ้าจะได้เข้าใจในสิ่งที่เขาเป็นและข้าพเจ้าก็จะปรับเปลี่ยนมุมมองของข้าพเจ้าเพื่อที่จะเป็นที่ปรึกษา และเข้าใจเขาได้ เพื่อให้เขารู้ว่าพี่น้องยังอยู่ข้างเขาและเข้าใจเขา

  
5.หากเป็นเพื่อน
   ถ้าข้าพเจ้ามีเพื่อนที่เป็นอย่างลุคโดวิค ข้าพเจ้าก็จะพยายามเข้าใจในสิ่งที่เขาเป็น และก็เป็นเพื่อนกับเขาได้ ไม่ล้อเลียนไม่ดูถูกเขา เพราะข้าพเจ้าจะคิดว่าถ้าข้าพเจ้าเป็นเขาก็คงจะต้องการเพื่อนที่เข้าใจและยอมรับข้าพเจ้า ดังนั้นข้าพเจ้าก็จะยอมรับและเข้าใจเขาพร้อมทั้งอยู่เป็นที่ปรึกษาให้กับเขาพร้อมทั้งแนะนำเขาหากเขาทำสิ่งใดผิดไปเพื่อไม่ให้เขาโดนตีตราจากสังคม และจะสนับสนุนสิ่งดีดีที่เขาทำ เท่าทีเพื่อนคนหนึ่งจะมีความสามารถทำได้

6.หากเป็นเพื่อนบ้าน
   สำหรับข้าพเจ้าแล้วคิดว่าการเป็นเพื่อนบ้านเป็นคำที่บ่งบอกถึงความไว้ใจเชื่อใจและสามารถพึ่งพากันได้อย่างจริงใจ ซึ่งถ้าข้าพเจ้าเป็นเพื่อนบ้านของครอบครัวลุคโดวิค ข้าพเจ้าจะต้องพยายามยอมรับสิ่งที่
ลุคโดวิคเป็น ไม่สร้างความกดดันให้กับครอบครัวลุคโดวิค และจะช่วยกันดูแลลุคโดวิคให้มากขึ้นเพื่อให้ความต่างของเขาเป็นจุดบางที่สุดในสายตาของเพื่อนบ้านคนอื่น เพราะข้าพเจ้าคิดว่าการเอาใจเขามาใส่ใจเราเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการอยู่ร่วมกันในสังคม เพราะถ้าเหตุการณ์เหล่านั้นเกิดขึ้นกับครอบครัวของเราเราก็คงมีความต้องการไม่แตกต่างจากครอบครัวลุคโดวิคนั้นก็คือ ต้องการการยอมรับและเข้าใจของเพื่อนบ้าน ดังนั้นถ้าหากข้าพเจ้าเป็นเพื่อนบ้านก็จะพยายามทำความเข้าใจในความต่างของเขา ไม่กดดัน ยอมรับ และช่วยดูแลเป็นที่ปรึกษาเป็นกำลังใจให้กับครอบครัวลุคโดวิค หากเขาต้องการ

7.หากเป็นตนเอง
   ถ้าข้าพเจ้าเป็นแบบลุคโดวิค สิ่งแรกคือข้าพเจ้าคงจะสงสัยในพฤติกรรมของตนเอง และคงจะตามหาคำตอบเหมือนที่ลุคโดวิคทำ และคงจะแคร์ความรู้สึกของครอบครัวเหมือนที่ลุคโดวิคเป็น แต่คงจะไม่กล้าเปิดเผยอย่างชัดเจนเหมือนกับลุค ข้าพเจ้าคงจะเลือกที่จะปรึกษาพ่อแม่เพื่อตอบคำถามตัวเอง และเมื่อโตขึ้นถ้าข้าพเจ้ารู้แล้วว่าข้าพเจ้าต้องการอะไร ข้าพเจ้าจะบอกความต้องการนั้นกับครอบครัวของข้าพเจ้าถ้าพวกเขารับได้ข้าพเจ้าคงจะดีใจมาก แต่ถ้าพวกเขารับไม่ได้ข้าพเจ้าก็จะทำใจยอมรับและหวังว่าเวลาคงทำให้อะไๆดีขึ้น และที่สำคัญข้าพเจ้าจะไม่ทำให้ความต่างของข้าพเจ้าไปทำร้ายจิตใจและทำลายความสุขของครอบครัวของข้าพเจ้ารวมถึงพยายามทำให้ความต่างของข้าพเจ้าก่อเกิดสิ่งดีดีในสังคมเพื่อว่าให้สังคมได้รู้ว่าความต่างที่ข้าพเจ้าเป็นไม่ได้เป็นพิษเป็นภัยต่อสังคมที่ข้าพเจ้าอยู่

8.ข้อคิด
  - แค่ความรัก ความเหมาะสมไม่เพียงพอต่อคำว่า ครอบครัว ความรัก ความเข้าใจ การให้อภัย การยอมรับ และการให้โอกาส ต่างหากที่จะสร้างคำว่าครอบครัวได้ ดังนั้นจะเห้นได้ว่าครอบครัวเป็นสถาบันที่ละเอียดอ่อน จึงจำต้องคิดไตร่ตรองให้รอบคอบโดยใช้ทั้งสมองและจิตใจ ในการที่จะทำให้เกิดคำว่าครอบครัว
  - การเอาใจเขามาใส่ใจเราถือเป็นกุญแจสำคัญในการอยู่ร่วมกันของคนในสังคม
  - บางครั้งเราอาจต้องเสียสละความต้องการ ความชอบความสนใจ หรือความสุขของเราบ้างเพื่อที่จะแบ่งเบาความสุขให้แก่คนที่ด้อยกว่าเราบ้างเพื่อความสงบของสังคม
  - ไม่มีความรักใด ความเข้าใจใด ความอบอุ่นใด ที่จะเหนียวแน่นกว่า ความรัก ความเข้าใจ ความอบอุ่นของครอบครัว
  - การยอมรับจะเกิดขึ้นในสังคม หากคนในสังคมรู้จักการเปิดใจให้คนอื่นและรู้จักการให้โอกาสผู้อื่นได้แก้ตัวเมื่อเขาผิดพลาดไป


9.คำถาม
  - อะไรคือกุญแจสำคัญที่จะทำให้สังคมที่มีผู้คนแตกต่างกันทั้งด้านความคิดและการกระทำ สามารถที่จะอยู่ร่วมกันได้โดยไม่มีปัญหา
  - เมื่อเกิดปัญหาเช่นในภาพยนต์กับครอบครัวของท่าน ท่านจะใช้วิธีใดในการแก้ไขปัญหาครอบครัวของท่าน(จงแสดงความคิดเห็น)
  - ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรต่อ เพศที่สาม ในสังคมไทยในปัจจุับันนี้

                                     51041040 นางสาว ดารณี เรืองจันทร์ 
                               สาขาการสอนสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม 
                                             คณะศึกษาศาสตร์ ชั้นปีที่ 4

1 ความคิดเห็น:

  1. ในฐานะเป็นแม่คนหนึ่ง อาจารย์ก็คงจะทำเช่นเดียวกันคือพยายามให้ลูกอยู่ในเพศที่ถูกต้องตามที่เกิดมา แต่ณ.วันหนึ่งหากเขาไม่ต้องการ ก็คงเป็นกำลังใจ ให้เขาเป็นอะไรก็ได้ ขอให้เป็นคนดีของสังคม

    ตอบลบ